วันอาทิตย์ที่ 30 พฤศจิกายน พ.ศ. 2551

กำอะไรอยู่

สวัสดีครับ ขอต้อนรับเข้าสู่บล็อค บอกต่อ(borgtor) บล็อคที่นำเอาเรื่องราวดี ๆ มีประโยชน์ต่าง ๆ ที่เพื่อน ๆ ได้ส่งมาให้อ่าน ได้แบ่งปันให้ทุกท่านได้รู้กันครับ
เช่นเคยครับ วันนี้เพื่อน ๆ ก็ส่งเรื่องดี ๆ มาให้อ่าน ก็ลองอ่านดูกันนะครับ เรื่อง "กำอะไร"

คุณ 'กำ' อะไรอยู่
ครอบครัวที่น่ารักอยู่ครอบครัวหนึ่ง ในครอบครัวนี้มี พ่อ แม่ และบุตรชายวัย 5 ขวบ กำลังน่ารักเลยทีเดียว เจ้าหนูเป็นเด็กที่ซนอย่างร้ายกาจและขี้สงสัยอย่างมาก
อยู่มาวันหนึ่งเจ้าหนูก็นึกครึ้มอกครึ้มใจอย่างไรบอกไม่ถูก ไปคว้าเอาแจกันหยกแกะสลักต้นราชวงศ์หมิง ซึ่งเป็นของเก่าแก่หายากและมีราคาแพงมาก นำมาเล่นพลิกคว่ำพลิกหงาย สักพักก็ล้วงมือเข้าไปในแจกัน
ทันใดนั้นเจ้าหนูก็ทำตาโตเท่าไข่ห่านดูเหมือนจะดีใจที่ล้วงเข้าไปเจออะไรสักอย่าง แต่ปัญหาหาอยู่ที่ว่าเจ้าหนูจะดึงมือออกมาได้อย่างไร เจ้าหนูเริ่มกระสับกระส่ายพยายามดึงมือออกมาแต่ก็ไม่สำเร็จ จนต้องใช้ไม้ตายคือ 'ทำอะไรไม่ได้ร้องไห้ไว้ก่อน'
เสียงเอ็ดอึงเป็นผลให้พ่อและแม่ต้องวิ่งมาดู เมื่อมาพบเข้าต่างก็พยายามช่วยกันดึงมือของเจ้าหนูออกจากแจกันด้วยวิธีต่างๆ น้ำมันก็แล้ว น้ำสบู่ก็แล้วทำอีท่าไหนก็ไม่ออก
จนสุดท้ายผู้เป็นพ่อต้องตัดใจทุบแจกันหยกราชวงศ์หมิงทิ้งเพื่อรักษามือของลูกชายเอาไว้
เมื่อมือของเจ้าหนูหลุดจากแจกันแล้วพ่อและแม่ ก็พบว่ามือเจ้าหนูกำอะไรบางอย่างจนแน่น
ผู้เป็นแม่จึงถามลูกชายว่า 'หนูกำอะไรอยู่จ้ะลูก ?' เจ้าหนูตอบพร้อมทำสีหน้าขึงขัง 'ผมปล่อยมันไม่ได้หรอกครับ' ' แล้วมันคืออะไรจ้ะลูก ?' ผู้เป็นพ่อเริ่มสงสัย
' มันเป็นสตางค์ครับ' เจ้าหนูตอบพร้อมกับค่อยๆแบมือออกอย่างทนุถนอม จึงปรากฏว่า ในมือของเจ้าหนูมีเพียงเหรียญสลึงอยู่สองเหรียญ เจ้าหนูหารู้ไม่ว่าการที่เขาพยายามกำเหรียญเอาไว้ ทำให้ครอบครัวต้องสูญเสียของมีค่ากว่าเป็นพันๆเ ท่า
ขณะที่คุณกำลังใช้ชีวิตอยู่ในเวลานี้ คุณกำลัง 'กำ' อะไรไว้ในชีวิตบ้าง ลองคิดดู ...
เงิน ? บ้าน ? งาน ? รถ ? หัวโขน ? ทิฐิ ? ...
และสิ่งที่คุณกำลังกำอยู่ทำให้คุณสูญเสียอะไรที่มีค่ามหาศาลไปบ้าง
เวลา.... ครอบครัว.... พ่อแม่..... คนที่รักเรา..... ความสุข สวรรค์ ตอบตัวเองได้หรือยังครับ ว่ากำลังกำอะไรอยู่ จะปล่อยหรือจะทุบแจกัน เลือกเอานะครับ

เป็นไงบ้างครับ ทุกท่าน กำลังกำอะไรกันอยู่หรือครับ ปล่อยกันบ้างได้หรือเปล่าครับ โดยเฉพะ ทิฐิ จึงทำให้ประเทศของเราต้องเสียหายอย่างมากมายอยู่ในขณะนี้ ปล่อยกันเถิดครับ

hasbro adultsdiapers dart casio

วันเสาร์ที่ 29 พฤศจิกายน พ.ศ. 2551

ธรรม จากใจบ.ก. กลางชล

สวัสดีครับ ยินดีต้อนรับเข้าสู่บล็อคบอกต่อ(borgtor) บล็อคที่นำเรื่องราวดี ๆ สนุก ที่เพื่อน ๆ ส่ง มาให้อ่านแล้วนำมาเผยแพร่แก่ทุกท่านครับ
วันนี้มีบทความดี ๆ จากบ.ก.ของหนังสือธรรมะใกล้ตัว ที่เพื่อน ๆ ส่งมาให้อ่าน ทุกท่านลองอ่านดูนะครับ

จากใจ บ.ก. ใกล้ตัว

กลางชล




สวัสดีค่ะ

ฮ้า... ช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมา เหนื่อยแทบแย่ค่ะ

เพราะอยู่ ๆ ก็ลุกขึ้นมาจัดบ้านจัดห้องเสียใหม่ ให้ "๕ ส." กว่าเดิม

(ไม่ใช่ ส. สกปรก โสมม สะสม สุมสุม ฯลฯ อะไรแบบนั้นนะคะ ^^")

จัดไปจัดมา รื้อไปรื้อมา ก็พบว่ามีของหลายชิ้นเหลือเกินค่ะ ที่นานมาแล้วเคยคิดว่า

เอาน่า เก็บไว้ก่อน คงได้ใช้มันอีกวันข้างหน้า หรือเห็นว่ามันยังมีคุณค่าทางจิตใจ

แล้วก็ทุกทีค่ะ เอาเข้าจริง หลายครั้งก็ลืมไปแล้วด้วยซ้ำว่า มีมันอยู่ในบ้านด้วยหรือนี่

ของเก่า ๆ หลายอย่าง ก็แทบไม่ได้ใช้ประโยชน์แล้ว

เครื่องพิมพ์ดีด... เมื่อคอมพิวเตอร์มาแทนที่ อุปกรณ์ชิ้นนี้ก็หมดหน้าที่ไปโดยปริยาย

ขิม... เปิดมาเห็นมันนอนนิ่งจนกระเป๋าเปื่อย ก็เหนื่อยใจแกมขำตัวเองตอนเด็ก ๆ

ที่รบเร้าพ่อกับแม่ให้ซื้อให้เหลือเกิน ด้วยอิทธิพลของอังศุมาลินในยุคกวาง กมลชนก : )

รื้อไป จัดไป ก็ยังไปเจอเอากรุสมบัติสมัยวัยเยาว์ในตู้อีกมากมาย...

สมุดสะสมแสตมป์ สมุดสะสมเหรียญกษาปณ์เล็กใหญ่ จากหลากหลายประเทศ

เสื้อนักเรียนสีขาวอมเหลือง ที่มีลายมือเพื่อน ๆ เขียนคำอำลาเปรอะเปื้อนไปทั้งตัว

สมุดเฟรนด์ชิปตั้งแต่สมัยประถม ที่คั่นหนังสือหลากหลายรูปแบบที่สะสมไว้

จดหมายสมัยเขียนเพ็นเฟรนด์ ไดอารี่เป็นเล่ม ๆ ที่ต้องมีล็อกด้วยถึงจะดูขลัง : )

ไม่นับเหรียญเงินเหรียญทองของเก๊ ที่ได้มาตอนชนะกีฬาสี แล้วภูมิใจเก็บไว้เสียนาน

กับปีกกล้าหาญตอนเข้าค่ายกระโดดหอ ฯลฯ สารพัดที่จะเก็บสะสมไว้จริง ๆ เลยค่ะ

เวลาผ่านไปเนิ่นนาน... กลับมามองอีกที

ความรู้สึกต่อสิ่งเหล่านี้ก็เปลี่ยนไปหมดแล้ว

ของเก็บสะสมเหล่านี้ แท้จริงก็คือวัสดุธรรมดา ๆ

ที่เราสมมติให้ค่ากับมัน ณ ช่วงเวลาหนึ่ง ๆ เท่านั้นเอง

วัสดุขึ้นรูปเป็นเหรียญพลาสติกกลม ๆ สีแบบนี้ เขาก็สมมติให้เรียกว่า เหรียญทอง

คล้องให้ใครก็สมมติกันว่า คนนี้เป็นเลิศ ใครได้ไปก็เกาะเกี่ยวกับความภูมิใจอยู่ชั่วครู่

ลายมือบนเสื้อนักเรียนที่เพื่อนร่วมชั้นเคยเขียนบอกว่ารักกันนัก รักกันหนา

ในความเป็นจริง ความรู้สึกนานาชนิดก็อยู่ภายใต้กฎของการเปลี่ยนแปลงไปเสมอเช่นกัน

ของบางอย่าง เราก็เก็บมันไว้ราวกับว่า "ความสุข" เป็นสิ่งที่เก็บใส่ตู้ไว้ได้อย่างนั้น

ของบางอย่าง เราก็ทิ้งมันไปนานแล้ว เพราะมันไม่ได้ให้ความสุขอะไรแก่เราอีกต่อไป

วันนี้ หยิบของหลาย ๆ ชิ้น เอาไปทิ้งบ้าง เอาไปให้คนที่อยากได้บ้าง เอาไปบริจาคบ้าง

และแค่สละมันออกไปเสียบ้าง ก็ช่วยให้ห้องโล่งว่างขึ้นอีกเป็นกอง

ยังโชคดีนะคะ ที่ของพวกนี้ แค่รื้อ แค่เก็บกวาด

แค่หยิบมันออกไปทิ้ง ห้องหับก็สะอาดน่าอยู่ได้ไม่ยากนัก

แต่คงเป็นธรรมดาที่คนเรามักจะคุ้นชินอยู่แต่กับการมองออกไปข้างนอก

ทั้งที่จริงแล้ว เราต่างคนต่างสะสมอะไรพอกพูนอยู่ในใจกันมามากมายตลอดชีวิต

บางคนไม่เคยเลยที่จะเก็บกวาดขยะ สละความรู้สึกด้านมืดออกไปจากใจ

บางคนนานเท่าใด ก็ไม่เคยแม้แต่จะย้อนมา "เห็น" ความรกในใจนั้นสักครั้งเดียว

ใครเคยทำเราโกรธ ใครเคยทิ้งเราไป ใครเคยทำเราเจ็บช้ำน้ำใจ

ผ่านไปกี่ปี ความรู้สึกปักจิตปักใจนี้ ก็ยังคงเก็บกักอยู่ใต้พรมอย่างนั้นไม่หายไปไหน

วันดีคืนดีเปิดไปเจอเข้า ก็ฟุ้งมาทำให้เราสำลัก แล้วก็ได้แต่เก็บกักมันไว้อย่างนั้นต่อไป

มีคนเคยพูดเปรียบเปรยไว้ไม่ต่างกันว่า...

น้ำที่ขังอยู่ ไม่ไหล ย่อมเน่าเหม็น ฉันใด

จิตที่เก็บกักความรู้สึกต่าง ๆ ไว้ ไม่ปล่อยไป

ย่อมทุกข์ใจ ฉันนั้น

ทั้ง ๆ ที่จิตใจก็ไม่ได้มีรูปพรรณสัณฐานให้จับต้องมองเห็น

แต่กลับเป็นแหล่งสะสมชั้นดี ที่พอกพูนความโลภ โกรธ หลง ไว้เป็นตัวตนจนหนาทึบ

นับแต่แรกเกิดมาเป็นตัวตนจนถึงวันนี้ เรามีแต่สะสมความเห็นผิดกันโดยไม่รู้ตัวว่า

นี่เป็นเรา นั่นของเรา นี่ก็เป็นเรา โน่นก็ของเรา มากขึ้นเรื่อย ๆ โตวันโตคืนอยู่ทุกวินาที

คนที่อยากมีบ้านสวยงามน่าอยู่ ลองดูเถอะค่ะ เขาก็จะเลือกจัดเก็บไว้แต่ของดีมีคุณค่า

สิ่งใดรก สิ่งใดเลอะ ไม่สวยงาม ไม่มีประโยชน์ เขาก็เก็บกวาดเอาออกไปทิ้งสม่ำเสมอ

และพยายามไม่เอาสิ่งที่เป็นขยะเข้ามาเก็บไว้ในบ้าน

เช่นเดียวกัน ใครปรารถนาเรือนชีวิตที่สว่างและสะอาดขึ้น

ก็เริ่มต้นได้ง่าย ๆ ด้วยการให้ทาน เป็นการสละส่วนเกินที่รกรุงรังออกไปจากใจ

และรักษาศีลไว้ ไม่โกยขยะอันเป็นความมืดเข้ามาสะสมไว้ในเรือน

เราอาจเริ่มต้นด้วยการสละความตระหนี่ถี่เหนียวใกล้ ๆ ตัว

สละความหวงแหนในของของตน สละความขึ้งเคียดพยาบาทกับคนรอบข้าง

อาจเริ่มจากการให้ทรัพย์เป็นทาน บริจาคข้าวของที่ไม่ใช้แล้วให้คนอื่นได้ใช้ประโยชน์

สละแรงกายแรงใจช่วยงานกุศลโดยไม่หวังผลตอบแทน มีน้ำจิตน้ำใจเอื้อเฟื้อ

บริจาคเลือดเนื้อหรืออวัยวะ ให้ธรรมะเป็นทาน หรือแม้แต่ให้ทานด้วยการ "อภัย" ฯลฯ

และเมื่อเรารักษาศีล ๕ จนเป็นปกติของชีวิตประจำวัน

ไม่ทำร้ายชีวิตผู้อื่น ไม่อยากได้ของที่ไม่ใช่ของตน ไม่ผิดลูกเขาเมียใคร

ไม่นิยมโกหกพกลม และไม่สั่งสมการร่ำสุราจนสติไม่อยู่กับเนื้อกับตัว

ใจที่หม่นหมองมืดมัว และชีวิตที่อยู่ไม่เป็นสุขจากการไล่ล่าแห่งวิบากกรรม

ก็ย่อมไม่เกิดขึ้น เพียงเท่านี้ เรือนชีวิตของเราก็สะอาดโล่งเป็นสุขขึ้นมากมายแล้ว

แต่นั่นเอง การมีเรือน คือกายคือใจนี้

ก็ยังเป็นภาระให้ต้อง "แบก" อยู่ร่ำไป

หลายคนตั้งหน้าตั้งตาทำเรือนให้เป็นสีขาว

คิดว่าการตั้งมั่นอยู่กับความดี เป็นเป้าหมายที่น่าปรารถนาที่สุดแล้ว

จริงอยู่ บ้านที่สวยงามย่อมน่าอยู่ แต่มีอะไรในธรรมชาติบ้างเล่า ที่เป็นอย่างใจได้เสมอไป

การ "เป็น" คนดี ก็ยังคงต้องทุกข์แบบคนดี

เรือนขาว ๆ สวย ๆ ของเรามีฝุ่นมาจับ มีคนกวาดขยะมาใส่หน้าบ้าน ก็รำคาญใจ

เผลอไปหน่อยเดียว มีเศษขยะพลัดเข้ามาในบ้าน ก็ไม่ชอบใจ

ผ่านร้อนผ่านหนาวจนเรือนเราเก่าไป ผุพัง ไม่งามดังเดิม ก็ดิ้นรน เป็นความทุกข์ใจอีก

ความสุขที่เบาสบายยิ่งกว่า ยังมีอยู่

นั่นคือการไม่ต้องแบกเรือนนี้ไว้อีกเลย แม้มีก็เหมือนไม่มี

พระพุทธเจ้าสอนให้เรารู้จัก "ทุกข์" ที่ละเอียดลึกซึ้งขึ้นไปอีกขั้น

ทุกข์ ไม่ใช่แค่เรื่อง เป็นหนี้ สอบตก อกหัก รักสลาย เป็นโรคร้าย ตายจากกัน

อย่างที่เรารู้จักกันทั่ว ๆ ไปแค่นั้น

แต่ในอีกมุมหนึ่งที่ลึกซึ้งถึงที่สุด พระพุทธเจ้าท่านตรัสไว้เลยค่ะว่า

กายใจ โดยตัวมันเองนั่นแหละ คือทุกข์

จะมีความอยาก ความยึดมั่นหรือไม่ก็ตาม

กายนี้ใจนี้ก็เป็นทุกข์โดยตัวมันเองอยู่แล้ว

นอกจากทุกข์ไม่มีสิ่งใดเกิดขึ้น นอกจากทุกข์ไม่มีสิ่งใดดับไป

ถ้าใครอ่านแล้ว ก็ยังไม่เห็นรู้สึกว่าเป็นอย่างนั้นเลย ก็ไม่น่าแปลกใจหรอกค่ะ

เพราะเราสั่งสมความเห็นผิดชนิดติดคราบฝังลึกแบบตรงข้ามกันมานานนับอนันตชาติ

แต่สิ่งที่เราควรรู้ก็คือ ความสุขชนิดที่เป็นอิสระจากทุกข์ทุกชนิดอย่างถาวรนั้น

มีอยู่จริง ไม่ใช่เรื่องหลอกเด็ก และไม่ใช่ของไกลเกินเอื้อม แม้สำหรับคนยุคเรา

เมื่อไหร่ที่เรารู้จัก "ทุกข์" ได้จริง ๆ จนใจมันฉลาดพอที่จะไม่เอาทุกข์นั้นเองจริง ๆ แล้ว

วันนั้น ก็จะเหลือแต่ สภาวะที่เป็นทุกข์ แต่ไม่มีตัวผู้ทุกข์

คิดดูนะคะ ก็ในเมื่อไม่มีตัว "ผู้ทุกข์" เสียแล้ว

ความอยากที่จะให้ "ตัวของเรา" "ใจของเรา" เป็นสุข จะมาจากไหน

เมื่อวางได้หมด หมดความดิ้นรนที่จะวิ่งหาความสุข วิ่งหนีความทุกข์อีกต่อไป

แม้กายใจมีอยู่ ก็จะไม่มีอะไรให้หยิบฉวยขึ้นมาเป็นตัวตนของตนอีกเลยแม้แต่ขณะเดียว

ฟังดูเข้าใจยาก ๆ แต่เชื่อไหมคะว่า

แม้คุณผู้อ่านก็สามารถไปถึงจุดนั้นได้ และง่ายกว่าหาทางบินไปดวงจันทร์เสียอีก : )

พระพุทธเจ้าท่านตรัสชี้ทางไว้ให้แล้วค่ะว่า เส้นทางไปสู่ความสุขชนิดนั้น

มีทางอยู่สายเดียว คือ การเจริญสติ รู้กาย รู้ใจ เพราะกายใจของเรานั่นแหละ ตัวทุกข์

ลองเปิดใจศึกษาเส้นทางนั้นดูเถิดค่ะ

แล้ววันหนึ่ง แม้ยังมีเรือนกาย เรือนใจ หายใจให้เห็น ๆ กันอยู่อย่างนี้

แต่เราก็จะไม่ต้องดิ้นรนเป็นสุขเป็นทุกข์ เพราะของสมมติหลอก ๆ ที่หลงยึดกันอีกแล้ว

เอ้า... แต่ก็ไม่ใช่ว่า พอคิดว่าจะไม่ยึดเรือนเป็นตัวเป็นตน

แล้วก็ไม่ต้องจัดบ้านจัดช่องกันนะคะ : )

เมื่อยังต้องอาศัยมันอยู่ ก็ควรต้องดูแลให้น่าอยู่ตามสมควร

ระหว่างที่คอยมีสติตามรู้ ตามดู สิ่งแปลกปลอมที่ผ่านมาเยือนเรือนของเราไปเรื่อย ๆ

ก็อย่าลืมเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ ทำทาน รักษาศีล สร้างกุศล สะสมบารมีไปเรื่อย ๆ ด้วย

เพราะสิ่งเหล่านี้ ล้วนเป็นปัจจัยเกื้อหนุนให้เราละความเป็นตัวตนได้ในที่สุดทั้งสิ้น

เหมือนที่ครูบาอาจารย์ท่านมักกล่าวสอนนั่นล่ะค่ะว่า

จะไปให้ถึงฝั่งโน้น ก็ยังต้องอาศัยเรือนั่งไปก่อน

บุญกุศลที่สะสมไว้ดีย่อมเหมือนเรือที่ต่อไว้ดีแล้ว ไม่จม ไม่รั่ว

ต่อเมื่อไปถึงฝั่งที่สบายแล้ว เป็นอิสระไม่ทุกข์ไม่ร้อนอีกต่อไปแล้ว ค่อยสละเรือทิ้งไป

เมื่อยังลุ่ม ๆ ดอน ๆ กันอยู่อย่างนี้ ก็อย่าทิ้งกันเชียวนะคะ ทั้งทาน ศีล ภาวนา

ถึงเวลาฝนมาฟ้ามืด เรือใครเรือมัน ช่วยกันไม่ได้ด้วยนะคะ : )

อ้าว... ขึ้นด้วยเรื่องบ้าน ตอนจบทำไมพาคุณผู้อ่านนั่งเรือออกอ่าวไปเสียแล้วนะคะนี่ ; D


เป็นไงบ้างครับ คงจะได้ข้อคิดดี ๆ ไม่มากก็น้อยนะครับ


gillette coats stoves seiko

วันพุธที่ 26 พฤศจิกายน พ.ศ. 2551

กุ้งอันตราย







สวัสดีครับ ขอต้อนรับเข้าสู่บล็อคบอกต่อ(borgtor) บล็อคที่เอาเรื่องราวที่เพื่อน ๆ ส่งมาให้ มาเผยแพร่ให้กับทุกท่านได้อ่านกัน



วันนี้มีเรื่องน่ากลัวนิดหน่อยเกี่ยวกับเรื่องกุ้งแจ้งให้ทุกท่านได้ทราบกัน









ระวังกุ้งลักษณะนี้ไว้นะจ๊ะ มันดูคล้าย mini lobster แต่ไม่ใช่ กุ้งเหล่านี้ถูกเลี้ยงไว้เพื่อกำจัดขยะต่างๆ ในบ่อบำบัดน้ำเสีย ยิ่งน้ำสกปรกมากเท่าไร กุ้งเหล่านี้ก็จะยิ่ง เจริญเติบโตเร็วมากขึ้นเท่านั้น ปอดของมันเต็มไปด้วยหนอนต่างๆ เนื้อของมันอุดมไปด้วยพิษ ไม่รู้ว่าพ่อ ค้านำกุ้งเหล่านี้มาจำหน่ายให้แก่ผู้บริโภคได้อย่างไร ฉะนั้นอย่าสั่งกุ้งเหล่านี้มารับประทานอย่างเด็ดขาด
หวังว่าจะเป็นการเตือนให้กับคนที่ชอบกินกุ้งได้ระวังตัวนะครับ



วันอาทิตย์ที่ 23 พฤศจิกายน พ.ศ. 2551

ลดความอ้วน?

สวัสดีครับ ขอต้อนรับเข้าสู่ บอกต่อ(borgtor) บล็อคที่รวบรวมเรื่องราวจาำกที่เพื่อน ๆ ส่งมาให้อ่าน เพื่อประโยชน์แก่หลาย ๆ ท่านครับ
วันนี้มีเรื่องราวจาก สำนักงานคณะกรรมการอาหารและยามาฝากครับ พอดีไปนั่งกินน้ำเต้าหู้ ได้อ่านหนังสือพิมพ์ ก็ได้เห็นบทความที่เขียนเกี่ยวกับการลดความอ้วน ของ อย. จึงนำเอามาบอกต่อทุกท่านให้ทราบครับ

อาหารไม่ใช่ยา
อย่าหลงเชื่อโฆษณาโอ้อวด อ้างลดความอ้วน
เคยได้ยินใหม่? ผลิตภัณฑ์เสริมอาหาร ที่มีการโฆษณาชวนเชื่อ อ้างว่า สามารถลดความอ้วนได้ คุณเชื่อหรือไม่? เพราะที่พูดถึงนั้น ล้วนเป็นอาหาร ไม่ใช่ยา ย่อมไม่มีส่วนผสมของสิ่งใดที่จะสามารถลดความอ้วนได้ นอกเสียจากจะใส่ "ยา" เพื่อหวังผลลดความอ้วน ซึ่ง อย. พบส่วนใหญ่ คือยาลดความอ้วน "ไซบูทรามีน" นั่นคือ อันตรายที่แฝงมาโดยไม่รู้ตัว
"ไซบูทรามีน(Sibutramine) เป็นยาควบคุมพิเศษ ซวึ่งต้องมีการควบคุมการใช้ "โดยแพทย์เท่านั้น" เพราะถ้าไม่! ผู้ใช้จะเกิดผลข้างเคียงตามมามากมาย เช่น "ปวดศีรษะ ปากแห้ง นอนไม่หลับ ทุ้องผูก ความดันโลหิตสูง ใจสั่น หัวใจเ้ต้นเร็วขึ้น" สำหรับกาแฟ หากดื่มมากไป เพื่อหวังผลลดความอ้วน ผู้ดื่มอาจได้รับ "คาเฟอีน เกินขนาด ทำให้หัวใจเต้นผิดจังหวะ เกิดความดันดลหิตสูง และเป็นอันครายต่อสุขภาพได้
ข้อแนะนำ สำหรับผู้บริโภคที่ต้องการลดความอ้วน
-รับประทานอาหารที่มีประโยชน์ เน้นกินผักผลไม้ อย่าทานจุกจิก
-หลีกเลี่ยงอาหารจำพวก แป้ง ไขมันสูง อาหาร ทอด ฟ้าสฟู๊ด
-ออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ อย่างน้อยอาทิตย์ละ 3 วัน วันละ ประมาณ 30 นาที

เชื่อเถอะว่า การจะลดความอ้วนได้ ขึ้นอยู่กับ "ตัวเราเอง"
สายด่วนอย. 1556 สนง.คณะกรรมการอาหารและยา

เป็นยังไงบ้างครับ ก็หวังว่าบทความนี้จะเป็นประโยชน์ต่อหลาย ๆ ท่านที่จะลดความอ้วนนะครับ


coats gillette bic hasbro cranium


วันศุกร์ที่ 21 พฤศจิกายน พ.ศ. 2551

กระต่ายกับเต่า ฉบับ MBA

สวัสดีครับ ขอต้อนรับเข้าสู่้ บอกต่อ(borgtor)บล้อคที่รวบรวมเรื่องราวต่าง ๆ ที่เพื่อน ๆ ส่งมาให้อ่านครับ
วันนี้มีเรื่องที่น่าสนใจมากครับ เป็นนิทานกระต่ายกับเต่า ในเวอร์ชั่นใหม่ อาจจะเป็นเรื่องที่เก่าแล้ว แต่ผมเห็นว่า มีประโยชน์อย่างมาก และยังทันสมัยอยู่ ลองอ่านกันดูนะครับ

นิทานกระต่ายกะเต่า ฉบับ MBA

กาลครั้งหนึ่ง เจ้าเต่ากับกระต่ายเถียงกันว่าใครเร็วกว่ากัน ทั้งคู่จึงตกลงที่จะวิ่งแข่ง ก็มีการกำหนดเส้นทางวิ่งแล้วก็เริ่มการแข่งขัน เจ้ากระต่ายนำโด่งมาไกลก็เลยชะล่าใจ คิดว่าพักผ่อนใต้ต้นไม้ซักกะแป๊บนึงก่อนแข่งต่อก็คงดี ไปๆมาๆก็ง่วงสิ ตื่นมาอีกทีเจ้าเต่าก็คว้าแชมป์ไปแล้ว
นิทานตอนนี้สอนให้รู้ว่า ช้าๆแต่มั่นคงสามารถเอาชนะได้(เหมือนกัน) นี่เป็นเวอร์ชั่นเดะๆที่เราคุ้นหูกัน ไม่นานมานี้มีคนเล่าเวอร์ชั่นใหม่ที่น่าสนใจให้ฟัง ต่อเลยนะ....

เจ้ากระต่ายสันหลังยาวก็รมณ์บ่จอยตามระเบียบที่แพ้ มันจึงค้นหาจุดอ่อนของตนเอง มันก็พบว่าความมั่นใจในตัวเองเกินไปบวกกับความขี้เกียจ ของมันนั่นแหละที่ทำให้แพ้ ถ้ามันไม่เผลอหลับซะอย่าง เต่าหน้าไหนจะเอาชนะมันได้
มันจึงขอแก้ตัวใหม่อีกครั้ง เฮ้ย..เมื่อกี๊ฟลุ้คอ๊ะป่าว แน่จริง..ใหม่เด่ะ
เจ้าเต่าก็ตกลง ย่อมได้ไอ้น้อง”.... แน่นอนว่าครั้งนี้ เจ้าเต่าโดนทิ้งไม่เห็นฝุ่น กระต่ายชนะขาดลอย
เราได้ข้อคิดอะไรล่ะ...
ต่อให้ช้าแต่ชัวร์ ยังไงก็แพ้เร็วและสม่ำเสมอ ถ้าเราเปรียบเทียบคนสองคนในองค์กรของเรา คนนึงช้าจริง ทำอะไรมีระบบระเบียบแบบแผน แต่ทำอะไรๆไม่เคยพลาด ไว้ใจได้แน่นอนในผลงานของเขา เทียบกับอีกคนนึงที่เร็วและก็พอไว้ใจได้ในสิ่งที่เขาทำ คนที่เร็วกว่ามักจะประสบความสำเร็จมีความเจริญก้าวหน้าในองค์กรนั้นๆมากกว่า (ซิกแซกไม่เป็น อะไรลัดได้ เร็วได้ก็ไม่กล้าเสี่ยงไม่กล้าทำ ผลงานก็เลยน้อยมั้ง)
ไอ้ช้าแต่ชัวร์น่ะมันก็ดีอยู่หรอก แต่ให้เร็วและพอใช้ได้นี่ดีกว่า....
เรื่องยังไม่จบแค่นี้ คราวนี้ถึงทีเจ้าเต่ามาหาจุดบกพร่องของตัวเองบ้าง และมันก็พบว่า เป็นไปไม่ได้เลยที่มันจะชนะกระต่ายในเส้นทางการวิ่งแบบที่เป็นอยู่นี้ มันก็คิดอยู่ซักครู่หนึ่งก็ไปท้ากระต่ายแข่งใหม่ แต่ขอเปลี่ยนเส้นทางวิ่งซะหน่อย
เจ้ากระต่ายก็ว่าย่อมได้อยู่แล้วเพ่
พอการแข่งเริ่มปุ๊บ เจ้ากระต่ายก็ใส่เกียร์ห้อออกไปเต็มสปีดเลย จนกระทั่งไปถึงระหว่างทาง “เฮ้ย!!!..เวรกรรม ต้องข้ามแม่น้ำ ทำไงล่ะตู...” เส้นชัยอยู่ไม่ห่างจากฝั่งตรงข้ามเท่าไหร่เลย เจ้ากระต่ายมัวแต่เง็งว่าจะทำไงดี
จนเจ้าเต่าคืบคลานมาทันแล้วก็จ๋อมลงน้ำว่ายข้ามฝั่งไปเข้าเส้นชัย
นิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า....
พิจารณาจุดแข็งของตนให้ดีแล้วพยายามเปลี่ยนสนามการแข่งขันให้ ตนเองได้เปรียบมากที่สุด ย๊างงง ยังไม่พอ มีต่อ....
ด้วยน้ำใจนักกีฬา ครั้งนี้เจ้าเต่ากับกระต่ายเป็นเพื่อนที่ดีต่อกันแล้ว ต่างคนต่างมาระดมสมองคิดด้วยกัน หากทั้งสองร่วมมือกัน การแข่งแบบเมื่อครั้งล่าสุดจะช่วยให้ทำเวลาได้ดีขึ้น ดังนั้น พวกมันจึงคิดจะแข่งอีกครั้ง แต่แข่งคราวนี้เป็นแบบทีมเวิร์ค เริ่มต้นเจ้ากระต่ายก็แบกเต่าวิ่งไปด้วยความเร็วสูง จนถึงริมแม่น้ำแล้วเจ้าเต่าก็ให้กระต่ายขี่หลังว่ายข้ามไป พอข้ามฝั่งเจ้ากระต่ายก็แบกเจ้าเต่าวิ่งต่อจนเข้าเส้นชัยด้วยกัน
ผลการแข่งครั้งนี้ สร้างความพึงพอใจให้กับทั้งสองฝ่าย(ตัว)มากกว่า การแข่งครั้งก่อนๆหน้านี้ นิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า....
การมีจุดแข็งและความสามารถโดดเด่นเฉพาะตัวเป็นสิ่งที่ดี แต่หากไม่รู้จักทำงานร่วมกับผู้อื่น ยังไงก็ไปไม่รอด เพราะมันจะมีบางสถานการณ์ที่เราเจ๋งคนอื่นเจ๊ง ในขณะที่บางสถานการณ์เราเจ๊งแต่คนอื่นเจ๋ง ทีมเวิร์คสำคัญตรงที่การกำหนดผู้นำให้เหมาะกับสถานการณ์ ให้ผู้ที่มีความถนัดกับสถานการณ์นั้นๆเป็นผู้นำกลุ่มในแต่ละช่วง สถานการณ์ที่เหมาะกับความสามารถของเขา
นอกจากนี้เรายังได้บทเรียนอีกอย่างหนึ่งด้วยว่า ไม่ว่าเต่าหรือกระต่าย ไม่มีใครที่คิดเลิกล้มหรือท้อแท้หลังจากความความล้มเหลวได้เกิดขึ้น กระต่ายแก้ไขจุดบกพร่องของตนเองโดยการทำงานที่หนักขึ้น และเพิ่มความมุมานะในงานของตนเองหลังจากพบความล้มเหลว ส่วนเต่าได้ปรับเปลี่ยนกลยุทธ์ของตนใหม่ เพราะตัวมันเองได้ทำงานหนักที่สุดเท่าที่มันจะสามารถทำได้แล้วในชีวิต
เมื่อเราพบกับปัญหาหรือความล้มเหลว บางครั้งเราก็ควรจะทำงานให้หนักขึ้นและมีความเอาใจใส่ในงานมากกว่าเดิม บางครั้งก็ควรเปลี่ยนแผนการทำงานและทดลองในสิ่งใหม่ๆที่แตกต่างออกไป และในบางครั้งก็จำเป็นต้องทำทั้งสองอย่างเลย นอกจากนั้น กระต่ายกับเต่าก็ได้บทเรียนที่สำคัญอีกอย่างคือ เมื่อเราหยุดการแข่งขันกับตัวบุคคล
แล้วหันมาแข่งขันกับสถานการณ์แทน พวกมันจะทำงานได้ดีขึ้นมาก
เป็นไงครับ เยี่ยมจริง ๆ ใช่มั้ยครับ ก็หวังว่าเรื่องนี้จะเป็นกำลังใจให้แกุ่ทุกท่าน นะครับ

วันอังคารที่ 18 พฤศจิกายน พ.ศ. 2551

ผลกระทบเศรษฐกิจจากสถานการการเมืองทีผ่านมา

สวัสดีครับ ขอต้อนรับเข้าสู่บล็อค บอกต่อ(borgtor)บล็อคที่เอาเรื่องที่เพื่อน ๆ ส่งมาให้อ่าน มาเล่าสู่กันอ่าน วันนี้มีเรื่องเศรษฐกิจนิดหน่อย มาให้อ่านกันเล่น ๆ ครับ(ข้อมูลย้อนหลังหน่อยนะครับ ดูเพื่อให้เห็นภาพที่ผ่านมานะครับ)

สรุปข่าวผลกระทบทางเศรษฐกิจจากสถานการณ์ทางการเมือง


เศรษฐกิจด้าน
ผลกระทบ
ที่มา
1
ค่าเงินบาท
อ่อนค่าลงอย่างต่อเนื่อง มาอยู่ที่ 34.50 บาท/เหรียญสหรัฐ
อ่อนค่าที่สุดในรอบ 13 เดือน
นสพ.ข่าวสด
(3/9/51)
2
ท่องเที่ยวไทย
นักท่องเที่ยวยกเลิกทัวร์แล้วกว่าร้อยละ 90-95
คิดเป็นมูลค่าความเสียหายกว่า 35,000 ล้านบาทต่อเดือน
นสพ.ประชาชาติธุรกิจ
(3/9/51)
3
ตลาดหุ้น
นักลงทุนต่างชาติเทขายหุ้นกว่า 3,000 ล้านบาท นับตั้งแต่ต้นปี
นสพ.โพสต์ทูเดย์
(3/9/51)
5
สนามบินสุวรรณภูมิ
ความเสียหายจากรายรับด้านการท่องเที่ยวจากนักท่องเที่ยวต่างชาติประมาณ 300-450 ล้านบาท
นสพ.กรุงเทพธุรกิจ
(4/9/51)
7
นักท่องเที่ยวตปท.
ประกาศเตือนการเข้ามาท่องเที่ยวในประเทศไทยมากถึง 14 ประเทศ เช่น ออสเตรเลีย แคนาดา เกาหลี ญี่ปุ่น อังกฤษ จีน ไต้หวัน นิวซีแลนด์ สวิตเซอร์แลนด์ ฝรั่งเศส สิงคโปร์ เดนมาร์ก นอร์เวย์ และเบลเยียม
นสพ.กรุงเทพธุรกิจ
(4/9/51)
8
การท่าเรือแห่งประเทศไทย หยุดให้บริการ
ความเสียหายคิดเป็นมูลค่าวันละ 4,000 ล้านบาท
นสพ.ข่าวสด
(4/9/51)
9
รถไฟเชียงใหม่
ประชาชนคืนตั๋วโดยสารในช่วงที่หยุดเดินรถ
คิดเป็นเงินจำนวน 700,000 บาท
นสพ.ประชาชาติธุรกิจ
(4/9/51)
10
ท่าอากาศยานไทย
ปิดสนามบินที่หาดใหญ่และภูเก็ต รวม 6 วัน ส่งผลให้ ทอท.ได้รับความเสียหายเป็นมูลค่า 6 .9 ล้านบาท
ท่าอากาศยานภูเก็ตเสียหาย 5.7 ล้านบาท
ท่าอากาศยานหาดใหญ่เสียหาย 1.2 ล้านบาท
นสพ.เดลินิวส์
(4/9/51)
11
เอกชนยกเลิกอีเวนต์
การจัดงานเปิดตัวผู้สนับสนุนรายการ The Amazing Race Asia 3 ของบริษัท สิงห์ คอร์เปอเรชั่น จำกัด
สำนักกิจกรรมสื่อสารองค์กร เครือเจริญโภคภัณฑ์ ยังแจ้งยกเลิกกิจกรรม "คุยกับซี.พี." ครั้งที่ 3/2551
บริษัท โซนี่ ไทย จำกัด เลื่อนการจัดงาน "10th Sony Broadcast and Professional Product Exhibition 2008"
บริษัท พานาโซนิค ซิว เซลส์ (ประเทศไทย) จำกัด เลื่อนการจัดงานแถลงข่าวประกาศผลรอบชิงชนะเลิศ โครงการ "สร้างสรรค์ ฉลาดคิด ผลิตข่าว กับพานาโซนิค 2008"
บริษัท อาร์เอส อินเตอร์เนชั่นแนล บรอดคาสติ้ง แอนด์ สปอร์ต แมเนจเม้นท์ จำกัด หรือ Rsbs ที่จะจัดงาน " Fifa futsal world cup 2008"
นสพ.ฐานเศรษฐกิจ
(4/9/51)

เป็นไงบ้างครับ เห็นถึงปัญหาที่เกิดจากความคิดเห็นที่ไม่ตรงกัน และไม่ยอมรับความเห็นที่แตกต่างกัน มีแต่ความโลภ ไม่หยุดหย่อน ผู้ที่รับกรรม ก็คือ ประชาชนทั่วไปเช่นเรา ๆ ท่าน ๆ นั่นแหละครับ

clif coats darts

วันพุธที่ 12 พฤศจิกายน พ.ศ. 2551

แม่ของเรา

แม่ไม่เคยหลอกให้เราหลงรัก
เพราเราเต็มใจรักแม่โดยไม่ต้องหลง
แม่อาจเคยตีให้เราเจ็บ แต่ไม่เคยทำให้เราเจ็บหัวใจ
แม่ส่งเสียเรา แต่เราต้องส่งเสียแฟน
แม่ไม่เคยบอกเลิก
แม่เป็นแบงค์ส่วนตัวที่เวลากู้ไม่เคยคิดดอกเบี้ย และไม่ค่อยทวงคืน
แม่เห็นเราเดินแก้ผ้าตั้งแต่เด็ก โดยไม่เคยติเรื่องรูปร่าง
แม่เป็นคนที่เห็นเราดีกว่าแฟนของแม่เสมอ(พ่อเรางัย)
ขอหอมแม่ไม่ยากเท่าขอหอมแฟน
แม่ยอมตัดสะดือตัวเองเพื่อให้เราเกิดมา
แม่สนให้เราพูดได้ เพื่อจะไปบอกรักแฟนตอนเราโต
แม่ยอมเป็นยัยอ้วนลงพุงตั้ง 9 เดือน เพื่อให้เราอาศัยอยู่ข้างใน
และในประเทศนี้ไม่มี "วันแฟนแห่งชาติ"เหมือนวันแม่ไช่มั้ย
พรุ่งนี้! คุณอยากบอกกับแม่ว่า......อะไรดีครับ
ใครรักแม่ อ่านแล้วก็ส่งต่อด้วย เพื่อแม่ทุกคนครับ

บอกต่อวันนี้มีแต่ข้อความสั้น ๆ แต่ก็กินใจครับ สำหรับคนรักแม่ทุกคนนะครับ ^_^

พลังแห่งบุญ

ยินดีต้อนรับเข้าสู่บล็อค บอกต่อ ครับ บล็อค ที่รวบรวมเรื่องราวต่าง ๆ ที่เพื่อน ๆ ได้ส่งมาให้ผมได้อ่านกันครับ
วันนี้ก็เช่นเคยครับ มีเรื่องราวดี ๆ ของ มิสเตอร์ แซนวิช มาฝาก หลาย ๆ ท่านคงจะรู้จักมิสเตอร์แซนวิชดี จากปัญหาพิษเศรษฐกิจฟองสบู่แตกเมื่อปี พ.ศ. 2540 ทำให้ธุรกิจต่าง ๆ ในประเทศล้มมากมาย หลายคน เครียดจนฆ่าตัวตาย แต่มีคนหนึ่ง ลุกขึ้นสู้ ด้วยการทำแซนวิชขาย
เราลองมาดูถึง แนวทางการดำเนินชีวิต และวิธีคิดของเขากันดู


MR. SANDWICH OF THAILAND"

ถ้าวันนี้ยังรวยอยู่คงไม่รู้จักการทำบุญ
ศิริวัฒน์ วรเวทวุฒิคุณ กับ..ปฏิหาริย์ล้างหนี้เกือบพันล้าน

"ศิริวัฒน์แซนด์วิช"ได้เริ่มออกสู่ตลาดในวันแรก (๒๐เมษายน ๒๕๔๐) เพียง๒๐ ชิ้นโดยมีสัญลักษณ์เป็นรูปเงินบาทลอยตัวกับลูกบอลลูนนั้น ปัจจุบันเป็นที่รู้จักกันไปทั่วโลกแล้วโดยผ่านสำนักข่าวโทรทัศน์ต่างประเทศ เช่น CNN, BBC World, CNBC, NHK รวมทั้งสื่อมวลชนในประเทศต่างขนานนามให้แก่นายศิริวัฒน์ วรเวทวุฒิคุณ ว่า "THE SANDWICH MAN" และ"MR. SANDWICH OF THAILAND โดยก่อนหน้านี้เขาเคยเป็นนายหน้าค้าหลักทรัพย์ (กรรมการผู้จัดการบริษัทหลักทรัพย์เอเชีย จำกัด หรือ บริษัทหลักทรัพย์เอเซียพลัส จำกัด(มหาชน) ในปัจจุบัน) และนักลงทุนที่มีชื่อเสียงในตลาดหุ้น เขาเคยทำกำไรจากตลาดหุ้นมากมาย จนกระทั่งตลาดหุ้นตกต่ำลงพร้อมกับโครงการคอนโดมิเนียมหรูในปี ๒๕๔๐ พนักงานที่เหลืออยู่กับเขาจำนวน ๒๐ คนได้แจ้งความประสงค์ที่จะทำงานอยู่กับเขา ทั้งๆที่เขาได้สูญเสียเครดิตทางด้านการเงินพร้อมกับความร่ำรวย "ตอนผมอายุ ๔๘ ปี ผมมีหนี้สินเกือบพันล้าน แต่วันนี้ผมอายุ ๕๙ ปี หนี้สิ้นหมดไป และชีวิตผมกลับจะมามีอนาคตอีกครั้ง นี่คือปาฏิหาริย์อันยิ่งใหญ่ในชีวิตของผม" นี่คือคำยืนยันของนายศิริวัฒน์

จากประสบการณ์ชีวิตที่แตกต่างกันชนิดที่เรียกว่าหน้ามือกับหลังเท้านั้น นายศิริวัฒน์ บอกว่า

ถ้าวันนี้ยังรวยอยู่คงไม่เข้าใจสัจจะธรรมชีวิต คงไม่รู้จัก
การทำบุญ ไม่รู้จักการให้ทาน รวมทั้งการช่วยเหลือคน
ในสังคมระดับรากหญ้าคงไม่อยู่ในความคิด สิ่งทำให้ชีวิตก้าว
พ้นช่วงวิฤติของชีวิต คือ ธรรมะของพระพุทธเจ้าในหัวข้อที่ ว่า

อตฺตาหิ อตฺตโน นาโถ. ซึ่งหมายถึง ตนเป็นที่พึ่งแห่งคน อย่าคิดขอความช่วยเหลือใครหากตัวเอง
ยังไม่เริ่มพยายามดิ้นรน และไขว่คว้าด้วยตัวเอง ก้าวทุกก้าวมีอุปสรรคขวากหนาม ช่วยให้เราแข็ง
แรงขึ้น อยู่กับตนเอง ทำหน้าที่ของตนให้ดี และหัวข้อธรรมอีกหัวข้อหนึ่ง อนิจจังทุกขัง อนัตตา
ซึ่งหมายถึง ความไม่แน่นอน คือความแน่นอน ทุกอย่างไม่เที่ยง นอกจากนี้แล้วนายศิริวัฒน์ยังยึดหลักคำสอนของเจ้าคุณนรรัตน์ราชมานิต
อดีตเจ้าอาวาสวัดเทพศิรินทราวาส ที่ว่า คนเราเกิดมามีลาภ มีเสื่อมลาภ
มียศ มีเสื่อมยศ มีสุข มีทุกข์ มีสรรเสริญ มีนินทา เป็นของคู่กัน จะไปถืออะไร
กับปากมนุษย์ถึงจะดีแสนดีมันก็ติ ถึงจะชั่วแสนชั่ว มันก็ชม แม้แต่พระพุทธเจ้า
ผู้ประเสริฐเลิศยิ่งกว่ามนุษย์และเทวดา ยังมีมารผจญ มีคนตำหนิติเตียน คน
ธรรมดาอย่างเราจะรอดพ้นไปได้อย่างไร

ได้แง่คิดว่าเขาจะติก็ช่างชมก็ช่าง เราไม่ได้ทำให้เขาเดือดเนื้อร้อนใจ ก่อนที่จะทำอะไร เราคิดแล้วว่า
จะไม่เดือดร้อนกับตัวเรา และคนอื่น เราจึงทำ จะนินทาติเตียนใส่ร้ายอย่างไรก็ช่างเขา บุญเราทำ กรรม
เราไม่สร้าง สงบกายสงบวาจา สงบใจ จะต้องไปกังวลกลัวใครจะตำหนิติเตียนไปทำไม ไม่เห็นมีประโยชน์
เปลืองความคิดเปล่าๆ ส่วนคำสอนอีกคำสอนหนึ่งที่นายศิริวัฒน์ยึดปฏิบัติมาตลอด คือ

คำสองของหลวงปู่มั่นที่นำมาใช้มีอยู่ ๓ ประโยค คือ

๑.สิ่งที่ล่วงไปแล้วไม่ควรไปทำความผูกพัน

๒.อนาคตที่ยังมาไม่ถึงก็ไม่ควรยึดเหนี่ยวเกี่ยวข้องเช่นกัน และ

๓.ปัจจุบันเท่านั้นที่จะสำเร็จเป็นประโยชน์ได้

"สิ่งหนึ่งที่รู้สึกภูมิใจเป็นอย่างยิ่งคือ มอบหนังสือสวดมนต์ให้ลูกค้าที่ซื้อครบ ๒๐๐ บาท ทั้งนี้
ได้ออกแบบให้เหมาะกับการใส่กระเป๋า สามารถอ่านได้ทุกเวลาโดยเฉพาะขณะนั่งรถเมล์ ซึ่ง
ไม่น่าเชื่อเลยว่าวันนี้มีผู้หญิงอยู่คนหนึ่ง มาบอกว่า คุณศิริวัฒน์เล่มนี้ดีมาก เดี๋ยวนี้ท่องได้
หลายบทแล้ว รวมทั้งหนังสือจัดทำหนังประวัติสมเด็จพระเจ้าตากสินโดยได้รวบรวมข้อมูล
มาจากที่ต่างๆ เพื่อเทิดพระเกียรติและสำนึกในพระมหากรุณาธิคุณ ที่ได้ทรงกอบกู้เอกราช
๗ พฤศจิกายน ๒๓๑๐ โดยสมนาคุณลูกค้า ลูกค้าซื้อครบ ๕๐๐ บาท พร้อมกับเหรียญสมเด็จ
พระเจ้าตากสิน"
นายศิริวัฒน์กล่าว
เมื่อถามถึงสิ่งยึดเหนียวทางจิตใจนายศิริวัฒน์ บอกว่า ในอดีตตอนเด็กๆ คุณแม่ให้พระหลวงปู่ทวด
มาห้อยองค์หนึ่ง จากนั้นก็เปลี่ยนไปแขวนพระนางพญา แต่วันนี้ห้อยเหรียญสมเด็จพระเจ้าตากสิน
มหาราองค์เพียงองค์เดียว ด้วยเหตุที่ว่าตอนเด็กๆ เราเรียนประวัติศาสตร์ นับถือท่านมาตลอด
ถ้าวันนั้นไม่มีคนชื่อพระเจ้าตาก วันนี้ไม่มีประเทศไทย ป่านี้ประเทศไทยคือส่วนหนึ่งของพม่า
เราคงเป็นหม่องโน้นหม่องนี้ไปแล้ว นอกจากนี้ยังศรัทธานับถือสมเด็จพระนเรศวรที่กู้ชาติจาก
พม่าได้เมื่อกว่า ๔๐๐ ปีที่แล้ว
"มีอะไรผมก็สวดบทอาราธนาดวงพระวิญญาณของท่านมีคนเขาบอกผมว่าท่านศักดิ์สิทธิ์
ท่านเป็นคนจีน ท่านค้าขาย เหมาะสำหรับค้าขาย ก็เลยใช้เป็นที่ยึดเหนี่ยว เพราะเราค้าขาย
ตั้งแต่ห้อยท่านมา เรามีความรู้สึกมั่นใจ เราจะดำเนินการสิ่งใด เรานึกถึงท่าน จริงๆ ไม่ได้นึก
ถึงหน้าท่านตรงนี้ นึกถึงหน้าท่านที่อนุสาวรีย์ที่วงเวียนใหญ่ โดยได้ไปถ่ายรูปโคลสอัพ ผมมี"
นี่คือพลังศรัทธาในองค์สมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราชของนายศิริวัฒน์ และจากพลังศรัทธา
สมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราช สิ่งหนึ่งที่นายศิริวัฒน์ ทำมาอย่างต่อเนื่อง คือ ให้ทุนการศึกษา
ลูกหลานพระเจ้าตากที่จันทบุรี โดยตั้งเป็นกองทุนเทิดพระเกียรติสมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราช
แรกเริ่มมีนักธุรกิจใหญ่ท่านหนึ่งได้ประเดิมศรัทธา ๕๐,๐๐๐ บาท
พร้อมกันนี้นายศิริวัฒน์ยังบอกด้วยว่าทุกๆเช้าจะท่องคาถาซึ่งเป็นบทกลอนของสมเด็จพระเจ้า
ตากสินมหาราชบทกลอนที่ว่า คือ อันตัวพ่อชื่อว่า พระยาตาก ทนทุกข์ยาก กู้ชาติ พระศาสนา
ถวายแผ่นดิน ให้เป็น พุทธบูชา แด่ศาสนา สมณะ พระพุทธโคดม ให้ยืนยง คงถ้วน ห้าพันปี
สมณะพราหมณ์ ปฏิบัติ ให้พอสมเจริญสมถะ วิปัสนา พ่อชื่นชม ถวายบังคม รอยบาท พระศาสดา
คิดถึงพ่อ พ่ออยู่ คู่กับเจ้า ชาติของเรา คงอยู่ คู่พระศาสนา พระพุทธศาสนาอยู่ยง คู่องค์กษัตรา พระศาสดา ฝากไว้ ให้คู่กัน
จาก www komchudluk.net

เป็นอย่างไรบ้างครับ ก็หวังว่าคงจะเป็นประโยชน์ต่อทุกท่านที่ได้อ่านบทความนี้นะครับ ^ ^

วันจันทร์ที่ 10 พฤศจิกายน พ.ศ. 2551

คิดนอกกรอบ

สวัสดีครับ ขอต้อนรับเข้าสู่ บอกต่อครับ วันนี้มีเรื่อง ที่เพื่อน ๆ ส่งมาให้อ่านและมีข้อคิดที่ดีมาก มาฝากนะครับ

เรื่อง จาก รุ่นพี่ บัญชี จุฬา ส่งมาให้
จากเรื่อง จริงของใครบางคนครับ อ่านแล้ว คิดดูนะครับ
ขณะที่ผมกำลังขับรถเดินทางไปจังหวัดลำปาง ซึ่งเป็นทางคดเคี้ยวบนเขาจะต้องใช้ความระมัดระวังเป็น พิเศษ
ทันใดนั้นเองผมเห็นรถโผล่พ้นเหลี่ยมเขาซึ่งเป็นทางโค้งวิ่งมาด้วยความเร็วลักษณะส่ายไปมาแถม ยังกินเลนเข้า มายังถนนฝั่งของผม ทำให้ผมต้องเบรกจนตัวโก่งพร้อมกับหักรถหลบลงไหล่ทาง
คนขับเป็นผู้หญิง ก่อนที่รถจะสวนกันเขาก็ชะโงกหน้าออก จากรถแล้วตะโกนด้วยเสียงดังว่า ' ควาย...ย...ย ' มันทำให้ผมโมโหมากจึงตะโกนสวนออกไปว่า ' E... ค...ว...า...ย ' ขี่รถผิดกฎจราจรจนเกือบทำให้เกิดอุบัติเหตุไม่พอยังมาด่าเราอีก ยังดีนะที่เราด่ามันทันก่อนที่มันจะขับรถ สวนพ้นไป
มัวแต่นึกแค้นใจที่ถูกด่าอยู่นั้นทันทีที่ผมขับรถพ้น เหลี่ยมเขา ' เอี๊ยด...เอี๊ยด...โครม... ' รถผมก็ชน ควายเข้าอย่างจัง ( ที่จริงแล้วเขาไม่ได้ด่าเรา แต่เขาบอกเราว่ามีฝูงควายอยู่ข้างหน้า เ
พราะกรอบความคิดที่เกิดจาก ประสบการณ์ของเราทำให้เราเข้าใจผิดคิดว่าความหวังดี ที่ เตือนให้ระวังเพราะมีควายอยู่ข้างหน้า กลายเป็นการคิดว่าถูกด่าว่าเป็นควาย )
นี่คือโทษของการคิดอยู่แต่ในกรอบ และมองโลกในแง่ร้ายเสมอ
ทุกคนมีเหตุผลของตัวเองเสมอ ที่จะทำอะไรสักอย่าง... จงอย่าถาม....ถ้าคนนั้น...ไม่ได้อยากที่จะเล่า

เป็นยังไงบ้างครับ ก็หวังว่าทุกท่าน จะได้กรอบความคิดใหม่ ๆ ที่แตกต่างไปจากกรอบความคิดเดิม ๆ นะครับ

วันศุกร์ที่ 7 พฤศจิกายน พ.ศ. 2551

ลองทำดู

สวัสดีครับ ขอต้อนรับเข้าสู่ บล็อค บอกต่อ บล็อคที่เอาความรู้และประโยชน์ที่เพื่อน ๆ แบ่งปันกัน มาเล่าในนี้ครับ
อันนี้เป็นแบบทดสอบครับ น่าสนใจมาก ลองดูนะครับ

โอปรา ( พิธีกรที่ดังมาก ที่ USA .) ได้ทำแบบทดสอบอันนี้และเธอได้ 38 คะแนนอ่าน ต่อไป แบบทดสอบอัน นี้น่าสนใจมาก
> > แล้วอย่าคิดมากนะ> แบบทดสอบอันนี้ค่อนข้างแม่นยำและใช้ เวลาทำ เพียง 2 นาที
> ทำซะ แล้วส่งต่อให้เพื่อนๆด้วย> รวมถึงคนที่ส่งนี่มาให้คุณ> บอกให้รู้ด้วยว่าคุณคือ ใคร
> ! แล้วช่วยเขียนคะแนนที่ได้ใน ช่อง Subject เวลาส่งเมลกลับไปหาด้วย> แล้วก็ทำแบบเดียวกันนี้ เมื่อส่งให้เพื่อนคน อื่น
> อย่าแอบดูเฉลยก่อน ให้ตอบไป เรื่อย ๆ จน จบ> คำตอบที่ได้จะบอกถึงสภาพของคุณในปัจจุบันว่าเป็นอย่าง ไร!
> เตรียมปากกาและดินสอให้ พร้อม> > นี่เป็นแบบทดสอบที่จัดทำโดยฝ่ายบุคคลของสน ง. ในทุกวันนี้> มันช่วยให้เขาเข้าใจพนักงานของเขา มากขึ้น ทั้งหมด มี เพียง 10คำ ถาม
> ดังนั้นก็คว้ากระดาษ กับปากกา มาจดคำตอบของ คุณ
> > > อย่าลืมเปลี่ยนหัวข้อของ e-mail นี้เป็นคะแนนของ คุณ> ทำเสร็จแล้วต้องส่งต่อให้คนรู้จักด้วย นะ> รวมถึงคนที่ ส่งมาให้คุณ ด้วย> อย่าลืมว่าต้องใส่คะแนนของคุณลงไปที่หัวข้อด้วย พร้อม หรื อยัง
> > > Let's Begin...
>> > 1. เวลาช่วงไหน ที่คุณจะรู้สึก ดี> a) ตอน เช้า> b) ตอน บ่าย ๆ หรือเย็นๆ> c) ตอน ดึกๆ
> > > 2. ปกติคุณจะมีท่าทางการเดินแบบ ไหน> a) เดินเร็ว ก้าวยาวๆ> b) เดินเร็ว แต่ก้าว สั้นๆ> c) เดินไม่ค่อยเร็ว มองตรงไปข้างหน้า> d) เดินไม่ค่อยเร็ว ก้ม หน้า> e) เดินค่อนข้างช้า
> > > 3. เวลาคุยกับใครคุณทำ ท่า> a) ยืนกอด อก> b) ยืนกุม มือ> c) เท้าสะเอว 1 ข้างหรือทั้ง 2 ข้าง> d) แตะหรือผลักคนที่คุย ด้วย
> > > 4. ท่านั่งสบายๆของคุณเป็นยัง ไง> a) เอาขาพับ เอียงไปข้างใดข้างหนึ่ง หรือนั่งพับเพียบ> b) นั่งไขว่ห้าง c) ยืดขา ตรง> d) นั่งทับขาข้างใดข้าง หนึ่ง
> > > 5. เมื่อมีอะไรที่ทำให้คุณรู้สึกถูกใจหรือขำมาก คุณ แสดงออกอย่างไร> a) หัวเราะดังๆอย่างพอใจ> b) หัวเราะ แต่ไม่ดัง มาก !> c) หัวเราะแบบไม่มีเสียง> d) ยิ้มแบบอายๆ
> > > 6. เมื่อไปงานเลี้ยง> a) เข้าไปอย่างเป็นที่สนใจทุกคนต้องรู้ว่าคุณมา แล้ว> b) เข้าไปเงียบๆมองหาคนที่ รู้จัก!> c) เข้าไปอย่างเงียบที่ สุดพยายามไม่เป็นที่ สนใจ
> > > 7. คุณทำงานอย่างหนัก ทุ่มเทมากๆ แต่ถ ูกขัดจังหวะคุณ ...> a) หยุดพักเพื่อผ่อน คลาย> b) รู้สึกหงุดหงิด ฉุน เฉียว รำคาญ> c) รู้สึกก้ำ กึ่ง 2 ข้อข้างบน
> > > 8. ชอบสีอะไรมาก ที่สุดต่อไป นี้> a) สีแดง หรือ สีส้ม> b) สีดำ> c) สีเหลือง หรือ! สี ฟ้า> d) สี เขียว> e) สีน้ำเงิน หรือ> สีม่วง> f ) สี ขาว> g) สีน้ำตาล หรือ สี เทา
> > > > 9. ตอนที่คุณอยู่บนเตียงช่วงเวลาสุดท้ายก่อนที่คุณจะ หลับ คุณนอนในลักษณะไหน> a) นอนหงายธรรมดา> b) นอน คว่ำ> c) เอียง ข้าง นอนขด> d) นอนเอาหัวทับแขน> e) นอนคลุมโปง
> > > 10. คุณมักฝันว ่าคุณ ...> a) กำลังหล่นหรือดิ่งลงไป เรื่อยๆ> b) กำลัง ต่อสู้ หรือดิ้น รน> c) กำลังค้นหาอะไรสักอย่างหรือใครสัก คน> d) กำลังบิน หรือกำลังลอยอยู่> e) คุณไม่ค่อยฝัน> f) คุณมักฝันถึงแต่สิ่งที่ ดี
> > > POINTS:
> 1. (a) 2 (b) 4 (c) 6
> 2. (a) 6 (b) 4 (c) 7 (d) 2 (e) 1
> 3. (a) 4 (b) 2 (c) 5 (d) 7 (e) 6
> 4. (a) 4 (b) 6 (c) 2 (d) 1
> 5. (a) 6 (b) 4 (c) 3 (d) 5 (e) 2
> 6. (a) 6 (b) 4 (c) 2
> 7. (a) 6 (b) 2 (c) 4
> 8. (a) 6 (b) 7 (c) 5 (d) ! 4 (e) 3 (f) 2 (g) 1
> 9. (a) 7 (b) 6 (c) 4 (d) 2 (e) 1!
> 10. (a) 4 (b) 2 (c) 3 (d) 5 (e) 6 (f) 1
> > > รวมคะแนนของคุณทั้งหมด แล้วมาดูเฉลยกัน ...
> > คะแนนเกิน 60 คะแนน :
> > คนอื่นๆมองว่าการอยู่กับคุณเขาต้องระวังตัวเองอยู่ เสมอ> เห็นว่าคุณเป็นที่หลงตัว เอง ! เห็นแก่ตัว> แล้วชอบทำตัวโดดเด่นออกมา> หลายคนอาจจะชื่นชมคุณ อยากเป็น เหมือนคุณ> แต่พวกเขาก็ไม่ค่อยเชื่อใจคุณและลังเลใจที่จะเข้ามา เกี่ยวข้อง กับคุณมากเกินไป
> > คะแนน 5 1 ถึง 60
> > คนอื่นๆมองว่าคุณเป็นคนที่น่า ตื่นเต้น แต่อารมณ์แปรปรวน> และไม่ ค่อยไตร่ตรองอะไร เป็นผู้นำโดยธรรมชาติ> ตัดสินใจเร็วแต่มันไม่ถูกเสมอ ไป> เขาเห็นว่าคุณเป็นกล้าหาญและ ท้าทาย> เป็นคนที่พร้อมที่จะทดลองอะไรก็ ได้> เป็นคนที่กล้าเสี่ยงคว้าเอา โอกาส> และสนุกกับการผจญภัย ผู้คน มักรู้สึกสนุกที่ได้อยู่กับคุณ> เพราะความน่าตื่นเต้นที่คุณสื่อออก มา
> > คะแนน 41 ถึง 50 คะแนน :
> คนอื่นๆมองว่าคุณ เป็นคน ร่าเริง สดใสมีชีวิตชีวา มีเสน่ห์ ง่าย ๆ และน่าสนใจ> เป็นคนที่มักจะเป็นศูนย์ กลางของความ สนใจ> แต่มีความสมดุล รู้ว่าต้องทำตัวยังไง> คน อื่น ๆ มองว่าคุณเป็นคน ใจดี นึกถึงจิตใจคนอื่น> และมีความเข้าใจ เป็นคนที่จะคอยให้กำลัง ใจ> และช่วยเหลือเขาตลอดเวลา
> > คะแนน 31 ถึง 40 คะแนน :
> คนอื่นๆมองว่าคุณ เป็นคนอ่อนไหว ระมัดระวัง รอบคอบ และง่าย ๆ> ผู้คนมองว่าคุณ ฉลาด มี พรสวรรค์> แต่นอบน้อม ไม่ใช่คนที่จะ มีเพื่อนได้ง่ายๆ> แต่จะเป็นคนที่ซื่ อสัตย์ ต่อเพื่อน มาก> และคาดหวังว่าเพื่อน ก็ต้องเป็นเช่นนั้นกับ คุณ> คนที่รู้จักคุณจริงๆจะรู้ ว่า ...> มันต้อง ใช้หลายอย่างมากที่จะทำให้คุณเลิกไว้ใจเพื่อน ของคุณ> แต่ใน! ทางกลับก ัน มันจะใช้เวลานานมากกว่าคุณจะยอมอภัยถ้าความ เชื่อถือนั้นถูกทำลาย ลง> ที่ไฮไล ท์ไว้ ตรงมากๆ
> > คะแนน 21 ถึง 30 คะแนน :
> เพื่อนๆมองว่าคุณเป็นคน ที่มีความมานะบากบั่นและจุก จิก> มองว่าคุณค่อนข้างขี้ระแวง> ระมัดระวัง อย่างมากเชื่องช้าและมีความพยายาม มากๆ> มันจะทำให้เขาแปลกใจถ้าพบว่าคุณทำ อะไรซัก อย่าง> โดยขาดการยั้งคิดหรือทำไปเพราะมีแรงกระตุ้นเพียงชั่ว ครู> เขาจะคาดหวังว่าคุณต้องตรวจสอบทุกอย่างในทุกแง่ทุก มุม> แล้วจากนั้น ก็มักจะตัดสินใจต่อต้านมัน> พวกเขาคิดว่า ส่วนหนึ่งอาจเป็นเพราะความขี้ระแวงโดย ธรรมชาติของคุณนั่นเอง
> > คะแนนต่ำ กว่า 21 คะแนน
> คนอื่นๆมองว่าคุณ ขี้อาย ขี้กังวล และไม่กล้าตัดสิน ใจ> เป็นคน ที่ต้องการการดูแล> เป็นคนที่ต้องการให้คนอื่น ตัดสินใจ แทน> และเป็นคนที่ไม่ต้องการเกี่ยวข้องกับใครหรืออะไรทั้ง นั้น> ผู้ค นเห็นว่าคุณเป็นคนที่กังวลใน ปัญหาที่ไม่มีทางเกิด ขึ้นได้> บาง คนคิดว่าคุณน่าเบื่อ มีแต่คนที่รู้จักคุณดีเท่านั้นจึงจะรู้ว่าคุณไม่น่า เบื่อ
> > > เอาละตอนนี้ส่งต่อไปได้แล้ว นะ แล้วอย่าลืมใส่ คะแนนของคุณในช่อง Subject ด้วยล่ะ

เป็นไงบ้างครับ ได้คะแนนกันเท่าไหร่ ก็เป็นวิธีการหนี่ง ที่เราสามารถตรวจดูตัวเองได้นะครับ แต่ก็อย่าไปเชื่อทั้งหมดนะครับ เพราะสุดท้ายแล้วก็อยู่ที่เรากระทำตัวเอง จะเป็นแบบไหนเราสามารถ ทำให้เป็นได้ครับ

ข้อเขียนดี ๆ ของนพ. วิทยา นาควัชระ

สวัสดีครับ ขอต้อนรับเข้าสู่บล็อคบอกต่อครับ มีข้อเขียนดี ๆ อยู่อันหนึ่ง ที่เพื่อน ๆ ได้ส่งมาให้อ่าน และคิดว่าน่าจะให้หลาย ๆ คนได้อ่านด้วย จึงขอบอกต่อนะครับ


วิธีทำให้ชีวิตให้โล่ง และ เบาขึ้น
เมื่อเร็วๆ นี้ ผมได้เปิดตู้เสื้อผ้าดูเห็น มีเสื้อผ้าที่ไม่ได้ใช้เต็มตู้ไปหมดเคยนึกจะใช้เวลาเลือกเอาสิ่งที่เลิกใช้ไปแล้วไปบริจาคที่ไหนสักแห่งแต่ก็ยังไม่ได้ทำสักที เอาล่ะ...วันนี้เริ่มทำเสียที... ปรากฏว่า รื้อ ค้นได้เสื้อกางเกงเสื้อกันหนาวมากมายที่ไม่ได้ใช้แล้วหรือไม่อยากใช้แล้วนับเป็นร้อยชิ้นเมื่อเอาของออกจากบ้านไปบริจาคแล้ว มีความรู้สึกว่าตู้ เสื้อผ้าโล่งขึ้นตัวเองก็เบาลง ใจก็สบายขึ้นอย่างประหลาด รู้แล้วล่ะ...สิ่งที่ผมทำไปแล้วนั้น คือ การทำให้ชีวิตโล่งและเบาขึ้นนั่นเองวันนี้เรามาคุยกันถึงวิธีทำให้ชีวิตเบาขึ้นโล่งขึ้น สบายขึ้นดีไหม? วิธีทำให้ชีวิตโล่ง และ เบาขึ้นเช่น...
1. เก็บของที่ไม่ใช้ เลิกใช้ เอาไปบริจาคให้ผู้เดือนร้อนเช่น เสื้อผ้ารองเท้าเฟอร์นิเจอร์เก่าๆ อย่าไปเสียดายกับของที่ไม่ใช้แล้วเลย

2. ลดงานที่เครียดๆ ลงบ้างเช่นงานประชุมที่เอาจริงเอาจังงานที่แข่งขันและหวังผลสูงถ้าเลือกได้ลาออกจากการเป็นกรรมการอะไรต่อมิอะไรเสียบ้างก็ได้บรรยากาศของการประชุมมักจะเครียดเสมอสารความเครียดก็หลั่งตลอดเวลา...รู้ไหม?

3.เลือกไปงานที่สำคัญและควรจะไปเท่านั้นไม่เช่นนั้น่เราจะไม่มีเวลาเป็นของตัวเองเลย

4. อ่านหนังสือพิมพ์ หรือนิตยสารให้น้อยลง โดยเฉพาะข่าวอาชญากรรมหรือข่าวเครียดๆ ที่ซ้ำกันทุกวัน

5. เลิกดูรายการทีวี.ที่เครียด หรือรายการข่าวหนักๆ ที่ ซ้ำๆ กันทุกวันเช่นรายการที่มีพิธีกรมานั่งเถียงกัน พูดแข่ง พูดแซวกัน 2-3 คนดูไปฟังไฟแทนที่จะ สบายใจกลับเครียดมากขึ้น น่าเบื่อด้วยซ้ำ

6. อย่ารับปากหรือสัญญาว่าจะทำอะไรให้ใครๆ ง่ายๆด้วยความเกรงใจเลยหัดปฏิเสธให้ เป็น

7. อย่าพยายามเปลี่ยนแปลงคนอื่นเลย ทำได้ยากมากจะทำให้เราจมปลักอยู่กับความผิดหวังในตัวคนอื่น และเกลียดชังสังคมรอบตัว พยายามรักคนอื่นและยอมรับเขาตามความเป็นจริงเถิด ถ้ารักไม่ลง ก็มองข้ามเขาไป และลดความคาดหวังในตัวเขาลงด้วยเมื่อเวลาผ่านไปเราหันไปมองเขาใหม่ เราจะเข้าใจยอมรับและรักเขาตามความเป็นจริงได้มากขึ้น

8. หัดไปไหนมาไหนคน เดียว เป็นเพื่อนตนเองได้จะลดขั้นตอนและความยุ่งยากใจเวลาจะต้องทำอะไรหรือไปไหนได้มากขึ้น

9. ลดความบ้างาน บ้าเงิน บ้าอำนาจบ้าเกียรติยศชื่อเสียงลงบ้างจะทำให้คุณไม่เครียดกับการเฆี่ยนตัวเองให้ทำงานหนัก และแข่งขันกับคนรอบข้างตลอดเวลาจนลืมสร้างมิตรและไม่เคยพอใจตัวเองเลยไม่ว่าจะได้มามากเท่าไร

10. ถ้าจะรักใครสักคนอย่าหลงรักเขาทั้งหมดของชีวิตและอย่าเข้าไปก้าวก่ายชีวิตเขาด้วย จงคิดเพียงจะอยู่ข้างๆ เขาก็พอแล้วการรักแบบนี้จะทำให้รักกันได้นานๆ

11. ลองแบ่งเวลาวันละ 1 ชั่วโมง ล้างจิตใต้สำนึกที่ไม่ดีออกไปให้หมดลองทำดูตามที่แนะนำมานะครับ เราจะรู้สึกว่าชีวิตโล่งและเบามากขึ้นเหมือนใส่เสื้อผ้าหลวมๆ ไม่คับ แคบ หรือรัดรึง อึดอัด เวลาตัวเองเบาๆ ใจสบายๆความคล่องตัวจะมีมากขึ้นจนคุณแปลกใจตัวเอง

ศ.ดร.นพ.วิทยา นาควัชระ

หลัก(ทำ)ประจำใจ

สวัสดีครับ ขอต้อนรับเข้าสู่ บอกต่อ(borgtor) บล็อคสำหรับบอกต่อเรื่องราวที่เพื่อน ๆ ได้ส่งเมลล์มาให้ผมอ่านครับ
วันนี้มีเรื่องดี ๆ ที่เพื่อน ได้บอกต่อให้ผมตั้งนานแล้วครับ เรื่องหลักธรรมประจำใจ แบบ มัน มัน นะครับ



หลัก(ทำ)ประจำใจ
วันนี้ขอเสนอหลักทำ 2 ข้อ คือ "เอาวะ" กับ "ช่างแม่ง"
ข้อที่ 1 เอาวะ
หลักทำ "เอาวะ" ใช้กับเหตุการณ์ที่จะตัดสินใจทำอะไรซักอย่าง
เมื่อท่านจะคิดจะทำอะไรซักอย่างให้พูดคำว่า "เอาวะ"
หลักทำ "เอาวะ" จะช่วยให้ท่านได้ลงมือทำตามปรารถนา
ข้อที่ 2 ช่างแม่ง
หลักทำ "ช่างแม่ง" ใช้เมื่อเกิดความผิดพลาด หรือผิดหวัง
เมื่อเกิดความผิดพลาดหรือความผิดหวังขึ้นกับตัวท่าน ให้ท่านพูดคำว่า "ช่างแม่ง"
หลักทำ "ช่างแม่ง" จะช่วยสลัดท่านออกจากความเศร้าหมองที่ท่านตอกย้ำตนเอง อาจไม่สุภาพ แต่ใต้จิตสำนึกมันช่วยท่านได้ 55555

เป็นงัยครับ หลัก(ทำ)ประจำใจ หวังว่าคงถูกใจหลาย ๆ ท่านนะครับ